Thursday, June 18, 2009

ขาย บ้านไม้ ชั้นเดียว 33 ตรว

  • บ้านไม้ ชั้นเดียว 33 ตรว.
  • ซ. อุดมเดช เข้าออกได้ หลายเส้นทาง ถึง ถนน สุขุมวิท , ศรีนคริทร์
  • ใน ซอย เป็น ชุมชน ใหญ่ เหมาะ ทำเลค้าขาย
  • ใกล้ ทางขึ้น ลง ถนน วงแหวน ตะวันตก
  • ใกล้ สนาม บิน 20 นาที
  • ราคา 800,000 บาท
  • ติดต่อ 02-7501298 , 084-1549834

ขายบ้าน เดี่ยว 2 ชั้น 79 ตรว.










  • บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 79 ตรว.


  • หมู่บ้าน ชัยพฤกษ์ สุวินทวงศ์ เลขที่ 100/541 ซ.8/1 ถนน คุ้มเกล้า เขต ลาดกระบัง กทม


  • 3 ห้องนอน 2 ห้อง น้ำ


  • 2 แอร์


  • เฟอร์นิเจอร์ ห้องครัว ตกแต่ง บิวท์ อิน


  • ราคา 4.9 ล้าน


  • ติดต่อ 081-8348742

Sunday, June 14, 2009

อย่าให้การซื้อบ้านมือสองของคุณ กลายเป็นบทเรียนราคาแพง


สำหรับคนที่กำลังหาบ้านมือสองสักหลัง ก่อนอื่นต้องรู้ว่า บ้านมือสองไม่เหมือนบ้านมือหนึ่งอย่างไร ไม่ใช่แค่เรื่องอายุหรือการผ่านมือ แต่หมายถึงตั้งแต่ขั้นตอนการค้นหาบ้าน เลือกทำเล การเจรจากับเจ้าของ ความแตกต่างของสินเชื่อระหว่างบ้านใหม่กับบ้านเก่า ฯลฯ โดยเฉพาะการทำการตกลงกับเจ้าของบ้าน มีอะไรบ้างที่ต้องคุยกันแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่า ใครเป็นคนจ่ายค่าโอนหรือภาษี จะย้ายเข้าย้ายออกเมื่อไร นอกจากนี้ควรทราบด้วยว่า การเจรจาต่อรองไม่ได้มีแค่เรื่องราคาเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า วิธีการหาซื้อบ้านมือสองกับบ้านใหม่นั้นแทบจะเรียกได้ว่า เป็นคนละศาสตร์กันเลยทีเดียว บ้านทั้งสองประเภทมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน เมื่อรู้แล้วว่า ทำไมถึงตัดสินใจเลือกอยู่อาศัยในบ้านมือสอง ก็ถึงเวลาที่จะมาดูกันว่า จะผ่านแต่ละขั้นตอนไปอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่า เป็นผู้ซื้อบ้านมือสองที่ชาญฉลาด ทำสัญญาจะซื้อจะขาย: เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่าย

เมื่อพบบ้านที่ถูกใจ การเขียนใบเสนอซื้อคือขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การเจรจาต่อรอง เพื่อจะทำสัญญาจะซื้อจะขายกันกับผู้ขาย ที่บอกว่าไม่ง่ายนั้นก็เพราะว่า คุณในฐานะผู้ซื้อจะต้องเข้าไปนั่งในใจของผู้ขาย เพื่อจะจินตนาการได้ว่า เจ้าของบ้านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อข้อเสนอนั้น

อย่างที่บอกก็คือ การยื่นข้อเสนอนั้นมีอะไรที่มากกว่าแค่เรื่องว่า ราคาเท่าไรที่คุณพร้อมจ่าย แต่ทั้งคุณและผู้ขายจะต้องทำความตกลงร่วมกันในเงื่อนไขหลายอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์มหาศาลของตัวเอง

รายละเอียดในใบเสนอซื้อที่นอกเหนือจากเรื่องราคานั้นจะรวมถึงรายละเอียดทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนซื้อขายบ้าน ได้แก่ จำนวนเงินมัดจำที่คุณจะจ่าย ใครจะเป็นคนจ่ายค่าธรรมเนียมหรือภาษี แล้วถ้าคุณต้องการให้วิศวกรมาตรวจโครงสร้างบ้านก่อนล่ะ จะมีผลต่อราคาไหม อะไรบ้างที่อยากให้เจ้าของบ้านซ่อมก่อนวางมัดจำ จะป้องกันปัญหาในกรณีที่โอนแล้วเจ้าของเดิมยังไม่ย้ายออกได้อย่างไร รวมถึงข้อตกลงว่า ถ้าคุณหรือผู้ขายต้องการจะยกเลิกสัญญาได้นั้น โดยเงื่อนไขอะไรบ้าง

เหล่านี้คือสิ่งที่จะต้องตกลงกันตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอซื้อ แต่เชื่อไหมว่า มีผู้ซื้อไม่กี่รายที่เข้าใจว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากไม่ทำการตกลงเรื่องเหล่านี้กันเป็นลายลักษณ์อักษร พึงระลึกเสมอว่า การทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือยื่นข้อเสนออาจกินเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แต่กลับส่งผลต่อชีวิตของทั้งคุณและผู้ขายไปอีกหลายปีหรือทั้งชีวิต เงื่อนไขการคืนเงินมัดจำ(contingencies): สิ่งที่คุณต้องระบุลงไปในใบเสนอซื้อ

เพราะไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างขั้นตอนการซื้อบ้าน ดังนั้น คุณควรได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับเจ้าของบ้าน เพื่อที่จะสามารถเรียกคืนเงินมัดจำจำนวนหลักหมื่นหลักแสนของคุณได้ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เงื่อนไขที่พบบ่อยที่สุดคือ การระบุว่า หากกู้แบงค์ไม่ผ่านสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันยกเลิก และเจ้าของบ้านจะต้องคืนเงินมัดจำให้คุณ

ตัวอย่างต่อมาเกี่ยวกับการต่อรองราคา หากเจ้าของบ้านเสนอราคาที่คุณคิดว่าสูงเกินไป คุณอาจตกลงกันว่า จะให้ธนาคารส่งพนักงานประเมินมาประเมินราคาบ้านก่อน ถ้าราคาประเมินสูงกว่าราคาที่เจ้าของเสนอมาคุณจึงจะซื้อ แต่ถ้าราคาประเมินต่ำกว่า และเจ้าของไม่ยินดีลดราคาลงมา คุณสามารถขอยกเลิกสัญญาได้ และขอเงินมัดจำคืน

อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่การที่คุณขอให้บริษัทตรวจสอบโครงสร้างมาตรวจสอบบ้านที่คุณต้องการซื้อ หากผลออกมาผ่านเกณฑ์ที่คุณพอใจคุณจึงจะซื้อ แต่ถ้าไม่ผ่าน คุณขอยกเลิกสัญญา และขอเงินมัดจำคืนได้เช่นกัน

ในบางกรณี คุณอาจทำเงื่อนไขให้เจ้าของบ้านรอไปอีกสักระยะ โดยจะทำสัญญาซื้อขายต่อเมื่อคุณขายบ้านอีกหลังของคุณได้ก่อน ฯลฯ เงื่อนไขเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาของคุณ และผู้ขายจะเห็นด้วยหรือไม่ บางครั้งคุณอาจต้องวางมัดจำเพิ่ม หรือซื้อบ้านในราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อย หรือเจ้าของบ้านอาจยอมทุกอย่างตามที่คุณต้องการโดยคุณไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม แต่ถ้าไม่ทำข้อตกลงเหล่านี้ไว้ หากคุณผิดสัญญาหรือเลยกำหนด เจ้าของมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ทันทีวางเงินมัดจำ: ทำไมไม่ควรมากเกินไป
หลังจากตกลงราคาและเงื่อนไขกันเรียบร้อยแล้ว และคุณตัดสินใจว่าจะซื้อบ้านหลังนี้ ขั้นตอนต่อไปคือการวางมัดจำ โดยทั่วไปเรามักจะได้ยินว่า เงินมัดจำ จะอยู่ที่ประมาณ 5% ของราคาซื้อขาย ซึ่งนับว่า เป็นจำนวนเงินที่สูงเอาเรื่องอยู่ เช่น สมมติว่า บ้านที่คุณต้องการซื้อราคา 3 ล้าน หมายความว่า คุณต้องวางเงินมัดจำกับเจ้าของบ้านถึง 150,000 บาท(หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) แต่ในทางปฏิบัติพบว่า ผู้ขายยอมตกลงให้ผู้ซื้อวางมัดจำน้อยกว่านี้มาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในยุคที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยยากกว่าเก่า คำแนะนำคือ เงินวางมัดจำไม่ควรมากกว่า 2% ของราคาซื้อขาย

เหตุผลประการแรกก็คือ ถ้ามากกว่านี้คุณเองอาจจะรู้สึกเครียดและกังวลหลังวางมัดจำก้อนโตเพื่อรอว่าแบงค์จะอนุมัติเงินกู้ให้คุณหรือไม่ จริงอยู่ที่คุณอาจจะทำข้อตกลงกันไว้ว่า เจ้าของบ้านยินดีคืนเงินมัดจำถ้ากู้แบงค์ไม่ผ่าน แต่คุณก็คงไม่สบายใจอยู่ดีที่นำเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นไปฝากไว้กับคนไม่รู้จัก เหตุผลประการต่อมา ยิ่งถ้าระหว่างนั้นคุณหรือเจ้าของบ้านอาจจะอยากปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่าง แล้วเกิดขัดใจกันขึ้นมา ผู้ซื้ออย่างคุณคงต้องเป็นฝ่ายยอมเพราะมีเงินมัดจำเหมือนตัวประกันที่ผู้ขายจะเรียกร้องอย่างไรก็ได้ ถึงแม้กรณีนี้จะเกิดขึ้นน้อยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การวางเงินมัดจำที่มากพอ เป็นหลักประกันแก่ผู้ขายว่าคุณมีความตั้งใจจริงที่จะซื้อบ้าน ดังนั้น จำนวนเงินมัดจำจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคุณกับผู้ขายว่าจะตกลงกันที่จำนวนเท่าใด บางครั้งการวางมัดจำสูงๆ อาจทำให้คุณเรียกร้องเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่คุณเพิ่มขึ้นกำหนดวันที่ให้ชัดเจน ป้องกันปัญหาภายหลัง

เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่จะต้องมีการกำหนดวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ลงในหนังสือเสนอซื้อ หรือสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อให้ผู้ขายได้วางแผนในการย้ายออกและเตรียมตัวสำหรับที่อยู่ใหม่ เพราะการที่ที่ผู้ขายย้ายออกล่าช้าหลังวันโอนถือเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ผู้ซื้อมักพบเจอ โดยเฉพาะถ้าผู้ซื้อต้องรีบย้ายเข้าที่อยู่ใหม่ให้ทันกำหนดเพราะต้องคืนที่อยู่เก่าแก่เจ้าของ หากมีความล่าช้าเกิดขึ้น ผู้ซื้อหลายคนถึงกับต้องเช่าหอพักเพื่อรอเวลาผู้ขายย้ายออกเลยทีเดียว

โดยมากการนัดโอนกรรมสิทธิ์จะกำหนดเป็นช่วงเวลา เช่น ภายใน 30-40 วันหลังทำสัญญาจะซื้อจะขาย เป็นต้น อาจเร็วกว่านั้นถ้าธนาคารดำเนินการเร็ว ไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลายาวๆ เพราะกลัวว่าธนาคารจะอนุมัติไม่ทัน เพราะถ้าเกิดความล่าช้าคุณสามารถตกลงกับเจ้าของบ้านได้ ควรกำหนดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการย้ายของคุณและผู้ขายดีกว่า เพียงแต่ต้องแน่ใจว่า เหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นนั้น คุณได้ตกลงกันในสัญญาจะซื้อจะขายเรียบร้อยแล้วโอนแล้วแต่ยังย้ายเข้าทันทีไม่ได้
การโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อโฉนดเปลี่ยนเป็นชื่อคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ครอบครองบ้านที่ซื้อมาทันที ถ้าบ้านที่คุณซื้อเป็นบ้านว่างหรือเจ้าของย้ายออกไปแล้วก็อาจจะง่ายหน่อย แต่ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านเองก็ต้องหาซื้อบ้านใหม่ด้วยเช่นกัน และมักจะนัดโอนวันเดียวกับที่คุณนัดพร้อมกันไปเลย จึงกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่า หลังโอนกรรมสิทธิ์ผู้ซื้อจะต้องให้เวลาผู้ขายในการขนย้ายออก ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยคือผู้ขายย้ายออกล่าช้าในความรู้สึกของผู้ซื้อ ดังนั้น คุณต้องตกลงกันตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายว่าจะให้ผู้ขายย้ายออกภายในกำหนดกี่วัน ไม่จำเป็นต้องนาน และผู้ขายจะอ้างว่าขอเวลาเตรียมตัวหาที่อยู่ใหม่ต่ออีกสักนิดไม่ได้ เพราะถ้าผู้ขายล่าช้าจะไปกระทบกับแผนการของคุณทันที ที่สำคัญ ระยะเวลา 30-40 วันก่อนการโอน คือเวลาสำหรับการวางแผนทั้งของผู้ซื้อและผู้ขายอยู่แล้ว
ที่มา: กิตติพล เอี่ยมกมล (www.realtime-estate.com)

การออกแบบตกแต่งห้องน้ำ










ห้องน้ำ เป็นห้องที่ต้องการ ความเป็นส่วนตัว มากกว่าทุกๆ ห้องในบ้านเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะ กิจกรรมที่ทำใน ห้องน้ำ อันได้แก่ การอาบน้ำ ชำระ ร่างกาย และการขับถ่าย เป็น กิจกรรมเฉพาะบุคคล ที่ต้องทำเป็น ประจำทุกวัน โดยเฉพาะ การอาบน้ำ ชำระร่างกาย ต้องทำอย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเช้า และตอนเย็น ตามหลัก สุขบัญญัติ ที่เราท่องจำตั้งแต่สมัยชั้นประถม ในปัจจุบัน ห้องน้ำยังใช้ เป็นสถานที่ ทำกิจกรรมอื่นๆ อีก เช่น การโกนหนวด แต่งหน้า แต่งตัว ซักผ้า หรือแม้กระทั่ง การอ่านหนังสือ เป็นต้น เมื่อกิจกรรมในห้องน้ำมีเพิ่มมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องเอาใจใส่ และ พิถีพิถันกับการสร้าง การจัด ตกแต่งห้องน้ำ ให้สวยงาม น่าใช้ และตอบสนอง การใช้สอยให้มากที่สุด โดยต้องเริ่มตั้งแต่ การวางแผนที่ดี การคัดเลือกวัสดุ และการตกแต่ง ให้สวยงาม สอดคล้องกับห้องอื่นๆในบ้าน เป็นต้น






รูปแบบ หรือ สไตล์ ในการตกแต่ง ห้องน้ำ โดยส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับ รสนิยม และ ความชื่นชอบ ของแต่ละบุคคล การเลือกรูปแบบ หรือ สไตล์ การตกแต่ง ก็ควรให้สอดคล้องกับ รูปแบบและ การตกแต่งภายใน โดยรวมของ อาคาร บ้านเรือน นั้นๆ โดยมีข้อคิดว่า ไม่ควรใช้รูปแบบ ที่มีการประดับประดารุงรัง หรือมีรายละเอียดซอกมุมมาก เพราะจะทำให้ยากต่อ การทำความสะอาด ในปัจจุบัน รูปแบบ หรือ สไตล์ ที่มักเป็นที่นิยมหลากหลาย แต่รูปแบบสมัยใหม่ หรือ ร่วมสมัย ซึ่งเป็นแบบเรียบง่าย และมีความหรูหรา อยู่ในตัวนั้น มักเป็นที่นิยมมากกว่า การใช้รูปแบบในอดีต






ห้องน้ำ สไตล์คลาสสิกห้องน้ำ ลักษณะนี้มักเน้นรูปแบบ ที่ค่อนข้างหรูหรา มีรสนิยม ด้วยการเลือกใช้ วัสดุ ในการตกแต่ง และ การจัดวางแปลน ที่พิถีพิถันการจัดแบบแปลน ก็มักขึ้นอยู่กับ ขนาดของพื้นที่ อาจมีการแบ่งส่วนอย่างชัดเจน เช่น มี ห้องแต่งตัว ซึ่งแยกไว้อย่างเป็น สัดส่วนด้วย ผนัง การเลือกสุขภัณฑ์ และ ก็อกน้ำ ก็จะเลือกให้เข้าชุดกัน สีที่นิยมใช้ก็เป็น สีทองเหลือง หรือสีทองเหลืองผสมกับ โครเมียม มันวาว ส่วน สุขภัณฑ์ ก็เลือกตาม โทนสี โดยรวมของ การตกแต่ง เน้นการโชว์เนื้อแท้ ของวัสดุ วัสดุที่นิยมใช้ก็หนีไม่พ้น หินอ่อน หินแกรนิต กระเบื้องเคลือบ ทั้งแบบเรียบ และมีลวดลาย กรุยเชิงผนัง บัวเพดาน – พื้น กระจก หรือ วัสดุสังเคราะห์ ที่มีรูปลักษณ์แสดงออกถึงความหรูหรา สวยงาม





















ห้องน้ำ สไตล์โมเดิร์น
ห้องน้ำ ในรูปแบบนี้ มักเน้นเส้นสายในเชิงเรขาคณิต เป็นสำคัญ และมักตัดทอน รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างออกไป ให้เหลือไว้ เพียงความเรียบง่าย และการโชว์เนื้อแท้ของวัสดุ เช่น หินอ่อน หินแกรนิต กระจกสเตนเลส โครเมียม หรือ หินทราย รวมทั้ง ผู้ออกแบบ ต้องมีความเข้าใจถึง ความต้องการของผู้ใช้ และ การออกแบบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่ดี เป็นสำคัญรวมทั้งการจัดแสงสว้างที่เหมาะสม
ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุจึงควรมีสีสันและลวดลายที่เรียบง่าย แต่ดูดี เช่น สีดำ เทา หรือขาว ส่วนวัสดุประกอบก็ควรเป็น ชนิดที่ดู ทันสมัย อาทิ วัสดุมันวาว ประเภทโลหะ หรือวัสดุผิวด้าน ใส หรือขรุขระ สุขภัณฑ์ หรือก๊อกน้ำควรเลือกรูปแบบที่มีความทันสมัย มีดีไซน์เฉพาะที่มี เอกลักษณ์ โฉบเฉี่ยวเข้ากันได้ดีกับกระจกเงาดีไซน์รูปทรางให้แปลกตา เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอาจเป็นกระจกใส โครงขาของอ่าง ทำด้วยเหล็ก ชุบโครเมียม เป็นต้น


ห้องน้ำ สไตล์ธรรมชาติ
ห้องน้ำ ลักษณะนี้เป็น การจัดแบบแปลน ที่ค่อนข้างแตกต่างจาก แบบอื่นๆ กล่าวคือ มีการนำเอาธรรมชาติมาใช้ร่วมใน การออกแบบ ซึ่งปกติที่ทำกัน ก็จะมีอยู่ 2 วิธีคือกำหนดให้พื้นที่ห้องน้ำเปิดโล่งเชื่อมกับ ภายนอก ใช้ธรรมชาติ เป็นตัวประสาน ด้วยการ จัดวางพันธุ์ไม้ต่างๆ บางกรณีผู้ออกแบบ อาจออกแบบให้มีรูปแบบที่พิเศษ เช่น ผนังด้านหนึ่งเป็น กระจกสูงโปร่ง าวตลอดแนวด้านใน ติดตั้งอ่างอาบน้ำ ล้อมรอบด้วยพันธุ์ไม้ จัดวาง สุขภัณฑ์ ที่เข้าชุดกัน พื้นปูด้วยหินทราย ผนังซีเมนต์ เปลือย หรือจัดเป็น ห้องน้ำ ที่มีหลังคาเปิดโล่ง ผนังบังสายตาก่อน ด้วยแนว ศิลาแลง ไม่สูงมากนัก ด้านในจัดวางสุขภัณฑ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้นกำหนดให้มี ธรรมชาติอยู่ภายใน ห้องน้ำ อาจทำพื้นที่ไว้สำหรับ วางต้นไม้ เช่น ยกขอบที่จะวางกระถางต้นไม้ หรือจัดสวนหย่อมเป็นมุมเล็กๆ หรือนำเอา วัสดุธรรมชาติมาใช้ร่วมด้วย อาทิ การใช้ไม้ซีกหรือปีกไม้ร่วมกับกระเบื้อง หรือ ผนังปูนฉาบ ไม่เรียบ พื้นเป็นคอนกรีต และโรยด้วยกรวด เว้นพื้นที่ปูนหินแผ่น หรือ กระเบื้องดินเผา ตรงบริเวณ อ่างอาบน้ำ เพิ่มบรรยากาศให้เป็น ธรรมชาติ ด้วยพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ สำหรับวัสดุและโทนสีนั้น ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับ การออกแบบเป็นสำคัญ แต่ก็ยังคงเน้นโทนสีธรรมชาติของวัสดุ เช่น สีของไม้ หิน ซีเมนต์ ก้อนกรวด กระเบื้องดินเผา หรือ สีของต้นไม้ ที่ใช้ประตกแต่ง ซี่งเป็น เสน่ห์สำคัญที่ให้ห้องน้ำ สวยงามอย่างมีเอกลักษณ์


ห้องน้ำ สไตล์คันทรี่
ห้องน้ำลักษณะนี้ โดยทั่วไป ก็เน้นความเป็น ธรรมชาติ ด้วย การตกแต่ง ที่เลือกใช้วัสดุที่มาจาก ธรรมชาติ และ วัสดุสังเคราะห์ ห้องน้ำ แบบนี้มีรายละเอียดและส่วนประกอบต่างๆ และรูปแบบที่ดูสบายๆ ที่ยังคง คำนึงถึง เรื่องขนาดของ พื้นที่ใช้สอย เป็นสำคัญ แต่ในบางกรณีก็มี การกำหนดโครงสร้างของ ห้องน้ำ ขึ้นเฉพาะ เช่น หลังคาที่มี ลักษณะสูงโปร่ง หรือหลังคาจั่ว เลือกใช้วัสดุ ธรรมชาติ อาทิ ปีกไม้ ไม้ท่อน หินกาบ กระเบี้อง และอื่นๆ ที่เป็น วัสดุจาก ธรรมชาติ หรือ วัสดุที่โชว์สี หรือ เนื้อแท้ของวัสดุ โทนสีส่วนใหญ่มักเป็นสีน้ำตาลครีม และขาว หรือ สีของวัสดุ ที่นำมาใช้ใน การตกแต่ง แต่ทั้งนี้ก็ควรเลือกให้ดูกลมกลืนกันไปการตกแต่งเน้น ความสอดคล้องกลมกลืนกัน ไม่ว่าจะเป็น พื้น ผนัง สุขภัณฑ์ ผ้าม่าน กรอบรูป และของประดับตกแต่งอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อ ให้ห้องน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่อย่าลืมเสริมบรรยากาศความสดชื่นด้วยสีเขียวของต้นไม้


http://www.novabizz.com/

ห้องนอน สวยๆๆ

ห้องนอน สวยๆๆ เก็บภาพมาฝาก






ห้องนอนโทนสีฟ้า




ห้องนอนโทนสีชมพู






ห้องนอนโทนสีม่วง







ภาพจาก internet

ห้องนอน

การนอนหลับคือ การพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับเพียง 5-6 ชั่วโมง ในห้องที่เงียบสงบ มืดสนิท อุณหภูมิพอเหมาะ และอากาศ ถ่ายเทดี ก็นับว่า เพียงพอแล้ว สำหรับคนเราในวันหนึ่ง ๆ ห้องนอน จึงเป็นห้อง ที่ต้องการ ความสงบมากกว่าส่วนใด ในบ้าน ให้ความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบาย แก่เจ้าของ อีกทั้งแสดง รสนิยม และ บุคลิก ของเจ้าของห้อง ได้มากกว่า ห้องอื่น นอกจากจะใช้เป็น ห้องพักผ่อนนอนหลับแล้ว ยังอาจใช้เป็น ห้องแต่งตัว และ ห้องทำงานส่วนตัว ได้อีกด้วย การนอน ถือเป็น กิจกรรม หรือ กิจวัตรประจำวัน ที่จำเป็น ต้องมีต้องปฏิบัติ เพื่อการเริ่มต้นชีวิต ในวันใหม่ ที่สดชื่น สุดๆ พร้อมกับ ภารกิจ การทำงาน ทุกสภาวะ และโอกาสใน การทำงาน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งของการ "นอน" ก็คือ "สุขภาพ"ที่ดีของ ร่างกาย เมื่อมี การทำงานไม่ว่า จะด้วย การใช้แรงกาย หรือแรงสมอง สติปัญญา และหรือ แม้แรงใจ แรงกระตุ้น จาก พลังจิต ภายใน ที่ทำให้คนเรา มีความสุขใน การทำงาน ปฏิบัติงาน ในหน้าที่ของ แต่ละท่าน ให้ได้ผลสมบูรณ์เต็มร้อย ควรอย่างยิ่งต้องมีการ "นอน" เป็นกิจกรรมที่สำคัญของวัน ที่เราๆ ทุกท่านต้อง พักผ่อนด้วย การ"นอน"



ห้องนอน ถือว่าเป็น สถานที่ส่วนตัว การออกแบบตกแต่ง จึงสามารถ ทำให้มีลักษณะ เฉพาะตัว ที่เด่นชัดออก มาได้เต็มที่ และตามสไตล์ ที่ผู้อยู่ต้องการ ได้ด้วย เนื่องจากพื้นที่ใน ห้องนอน นั้น เป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่พ้นจากสายตาคนอื่นๆ และยังเป็น ห้องที่เหมาะที่สุด ในการ สร้างสรรค์ ตามความประสงค์ ของผู้อยู่อย่างมาก บางคนอาจจะชอบ ห้องนอน ที่เต็มไปด้วย บรรยากาศ แบบไทยๆ ที่สามารถจะใช้โต๊ะ ตั่ง คันฉ่องหรือ กระจก มาตกแต่ง การวางที่นอน บนพื้นก็เป็น การเพิ่มบรรยากาศ ให้ห้องน่าอยู่มิใช่น้อย หรือบางคนอยากจะแต่ง ให้โมเดิร์นสุดๆ ก็ย่อมที่จะทำได้ เพราะห้องนอนเปรียบเสมือนโลกส่วนตัว ของแต่ละบุคคลที่สามารถ จะสร้างสรรค์ สิ่งที่ต้องการ ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึง รสนิยมและประโยชน์การใช้สอยร่วมกับผู้อื่น เหมือนกับการตกแต่งในห้องอื่นๆ

Popular Posts